ล่าสุด

รีวิว Apple Watch ตัวเป็นๆ

รีวิว Apple Watch ตัวเป็น ของจริง

หลายคนกำลังลุ้นกันใจจดใจจ่อกับ Apple Watch ที่ประโคมข่าวกันมานาน และเริ่มวางจำหน่ายทั่วโลกในหลายประเทศเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ได้มีโอกาสเอา รีวิว Apple Watch มาให้อ่านกันนะครับ ว่าใช้ไปแล้วเป็นอย่างไร สมควรต้องซื้อหามาเป็นเครื่องประดับหรือไม่

นับถึงเวลานี้เจ้า Apple Watch ตัวนี้ก็มาอยู่บนข้อมือผมแล้วเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ถึงตอนนี้ผมก็ไม่เรียกมันว่าเป็น iWatch แล้วเพราะตอนนี้ก็เป็น My Watch (นาฬิกา) ของฉันไปเรียบร้อยทั้งทางพฤตินัยและทางไวยากรณ์

นาฬิกาอัฉริยะเครื่องนี้ก็จะมาพร้อมกับสไตล์ทั้งหมด 38 สไตล์ พร้อมตัวเครื่องที่ทำจากหลากหลายวัสดุ ขนาด สี ต่างๆ และสามารถเปลี่ยนสายรัดแบบต่างๆได้โดยที่ราคาไม่แพงมากนัก

ราคาเริ่มต้นก็อยู่หลักหมื่นบาท ไปจนถึงหลายหมื่นบาท ทำให้นาฬิกาที่ออกแบบโดย Apple เครื่องนี้น่าจะเหมาะสำหรับคนที่วิ่งตามเทรนด์และบรรดาคนรักสวยรักงามทั้งหลายแน่นอน รับรองว่าฮอทกว่า G-Shock แน่นอน

แต่จะว่าไปแล้วมันคุ้มกับราคาแพงหูฉี่ตามสไตล์ของ Apple หรือเปล่า มันสามารถส่งการเตือนข้อความ อีเมล์ และการแจ้งเตือนอื่นของไอโฟนๆผ่านมายังข้อมือนั้นถือว่าสะดวกสบายมากมายกว่าเก่าเยอะ

ถึงตอนนี้ผมไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าผมวาง iPhone 6 plus ไว้ที่ไหน เพราะที่ผ่านมามันชอบทำตัวลึกลับให้หากันอยู่บ่อยๆ ผมสามารถเข้าถึงข้อความข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แล้วหากอยากจะหาว่าวาง iPhone 6 plus ไว้ที่ไหนแล้วละก็แค่กดปุ่มเรียกมันก็ร้องโหยหวนให้หาเจอได้อย่างง่ายได้ผ่าน Find my iPhone นั่นแหละครับ

แต่ความหรูหราอีกอย่างก็คือการที่ไม่ต้องควานหา iPhone ทุกครั้งที่กระเป๋ามันสั่น เพราะจะว่าไปแล้วตอนนี้น้อยคันนักที่จะสามารถทำแบบผมได้ เพราะราคามันเป็นตัวกำหนดนั่นเอง

แต่คำถามที่ค้างคาใจก็ยังมีอีกหลายประเด็น เช่นมันจะใช้งานได้ดีกว่า Smart phone ในกระเป๋าหรือไม่ เรารู้ข่าวสเป็คของ Apple Watch มาเป็นเดือนแล้ว และตอนนี้เราได้รู้คำตอบที่แท้จริงแล้วว่าใส่แล้วเป็นอย่างไร ยิ่งนานๆเข้าความรู้สีกว่ามันจะสมค่าสมราคาหรือไม่เรามาดูกัน

Apple Watch ทำอะไรได้บ้าง

จะว่าไปแล้วเขาพยายามนำเสนอด้วยคำพูดง่ายๆว่า Apple Watch ก็คือ iPhone บนข้อมือนั่นเอง และหลายๆครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนรอบข้างมักจะอ้างอิงถึงมันว่า โทรศัพท์ของคุณ อยู่บ่อยๆ แม้แต่ผมเองก็ยังหลุดคำนี้ออกมาเลยครับ

จริงๆแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะถือว่าเวอร์หรอกนะครับ ก็ด้วยหน้าจอเล็กๆสี่เหลี่ยมนี้ มันก็ดูเหมือนเป็น iPhone เครื่องจิ๋ว ที่สามารถอ่าน Email และทำอะไรต่างๆ รวมทั้งรับโทรศัพท์ได้จากข้อมูลของผมเอง

apple-watch-review-2

แถมยังมีลูกเล่นของการเป็น นาฬิกาอัฉริยะ ด้วยการมีระบบติดตามการออกกำลังกาย เจ้า Apple Watch ตัวนี้ยังทำให้ผมสามารถติดตามการเดิน วิ่ง การเผาผลาญแคลลอรี่ และอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย

แผงหน้าปัทว์ตามแบบที่เราต้องการก็มีมาให้เลือกมากมายเหมือนที่เราได้เห็นจาก นาฬิกา Android Wear ก็มี แถมเทคโนโลยีเด่นๆอย่าง หน้าจอสัมผัสที่อ่านค่าแรงกดได้อีกด้วย

apple-watch-review-3

แต่ก็ยังมีลูกเล่นของ iPhone ที่เราคุ้นเคยอีกมากมายที่อาจจะไม่สามารถใช้งานได้บน Apple Watch เครื่องนี้ อย่าลืมนะครับว่า Apple Watch ไม่ใช่จะมาแทนที่ iPhone ได้ มันเป็นแค่ตัวเสริมเท่านั้น หลายคนอาจจะผิดหวังหากไปคาดหวังว่ามันจะมีอะไรให้เล่นเหมือน iPhone ที่เราคุ้นเคย

“อ้าวต้องซื้อ iPhone ด้วยเหรอ” อาจจะเป็นคำถามที่ออกจากปากของหลายคนที่ไม่เคยเล่น iPhone มาก่อน บางคนอาจจะถามว่า “ผมต้องพก iPhone ไปด้วยเหรอนี่” แน่นอนครับว่าคุณจะดู Youtube ผ่านหน้าจอเล็กๆนี้ไม่ได้หรอก หรือจะเล่น Facebook แล้วคีย์ข้อความตอบไปผ่านหน้าจอเล็กๆนี้คงไม่ได้

ใครจะมาออกแบบเครื่องมืออะไรที่น้ำหนักเบา แบตเตอร์รี่บางๆ แล้วต้องมาทำงานหนักๆ ให้เปลืองแบตกันเล่า ดังนั้นคำตอบสุดท้ายคือคุณต้องพกไอโฟนอยู่ตลอดเวลา แต่มันจะอยู่ในกระเป๋าได้นานกว่าเมื่อก่อนเยอะ

การออกแบบและความสบายในการสวมใส่

ผมได้ลองหยิบจับ Apple Watch ทุกเครื่องแล้ว ยกเว้นก็แต่รุ่นพิเศษทอง 18 กะรัตเท่านั้นแหละครับ แต่สุดท้ายผมก็เลือกเอารุ่นพื้นฐานขนาด 42 มม แบบอลูมิเนียม Apple Watch Sport ที่เป็นสีขาว

apple-watch-review-4

เจ้ารุ่น Apple Watch Sport นี้ถือว่าเป็นรุ่นที่ถูกที่สุดแล้ว และในความคิดผมคิดว่ามันใส่สบายกว่ารุ่นที่หนักกว่าอย่างแสตนเลสหรือรุ่นทองคำเป็นไหนๆ

ซึ่งจริงๆแล้วเจ้ากรอบอลูมิเนียมและหน้าปัทว์แบบ Ion-X นั้นทำให้น้ำหนักเบากว่าอยู่ 30% เลยอยากเลือกของเบาๆที่ต้องอยู่บนข้อมือตลอด 18 ชั่วโมง ก่อนที่แบตมันจะหมดและต้องถอดไปชาร์ชแบต

กรอบอลูมิเนียมก็สวยงามไปกันได้กับเครื่องโทรศัพท์ไอโฟน ดังนั้นสีมันเลยออกทึมๆไม่แวววาวแบบสแตนเลส แต่หากใส่กับสายที่เป็นเหล็กก็ยังพอดูได้อยู่

apple-watch-review-5

เจ้าตัวเครื่องจะนูนหนาอยู่ที่ประมาณ 10.5 มม ซึ่งเหมือนจะหนากว่า Android watch อยู่เล็กน้อย แต่ขอบมันจะดูมนด้านบน และด้านหลังจะมีตัวอุปกรณ์วัดสัญญาณชีพจรติดอยู่

โดยรวมก็ถือว่าบางอยู่แล้ว แต่ก็อดจะจินตนาการไม่ได้ว่าในอีกไม่กี่ปีทาง Apple ก็คงได้มีนาฬิกาแบบบางเฉียบที่สุดในโลกมาวางจำหน่ายแน่นอน อาจจะเป็น Apple Watch 2, Apple Watch Air หรืออะไรก็ตามแต่

apple-watch-review-6

ด้านขวาก็จะมีปุ่มที่ทำได้ทั้งกดและหมุนเพื่อเลือกเมนูต่างๆ ส่วนไมโครโฟน และลำโพงจะอยู่ด้านซ้ายมือ การซื้อ Apple Watch มาใช้งานเขาจะให้สายรัดมาด้วยเลย ทั้งขนาดยาวและสั้น การเปลี่ยนสายรัดก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไร

การเชื่อมต่อและการเล่น App

การตั้งค่า Apple Watch นั้นก็ทำได้ง่ายๆ เริ่มเปิดแอพที่ชื่อว่า Watch App ซึ่งมาพร้อมกับ iOS 8.2 มันก็จะบอกให้ผมถ่ายรูป Apple Watch ของผม ถ่ายเสร็จก็ถือว่ามันเชื่อมกันเรียบร้อย

การ Sync แอพต่างๆก็เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติอีกด้วย แต่อาจจะใช้เวลาซักสองสามนาที หลังจากนั้นผมก็สามารถเล่นกับหน้าจอของ Apple Watch ได้เลย

apple-watch-review-7

ทันใดนั้นผมก็เริ่มได้รับข้อความ SMS เข้ามาทาง Apple Watch ส่วนใหญ่แล้วจะถามกันว่าได้เล่นเครื่อง Apple Watch หรือยัง และก็มี Email ต่างๆเข้ามาเป็นระยะๆ

สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นแม้ว่า iPhone ของผมจะเสียบปลั๊กไฟห่างออกไปอีกหลายเมตร เพราะแบตของ iPhone ใกล้จะหมดเลยเอาไปชาร์ตไว้

การเล่นกับระบบ User Interface อาจจะต้องใช้เวลาซักพักในการคุ้นชินกับมัน โดยเฉพาะใน My Watch แอพที่อยู่บน iPhone นั้นเหมือนจะซับซ้อนมาก คงต้องใช้เวลาซักพักที่จะเรียนรู้มัน

apple-watch-review-8

ผมสามารถสั่งปิดการแจ้งเตือนสำหรับแอพบางอันได้ การตั้งค่าต่างๆก็สามารถดึงมาจาก iPhone ได้เลย หรือจะตั้งค่าแต่ละอันเองได้สบายๆ แอพยอดนิยมอย่าง Facebook Google Map อาจจะหาไม่เจอ อย่างน้อยก็ในรูปแบบที่คุ้นเคยกันบน iPhone

apple-watch-review-9

แต่แน่นอนว่าการแจ้งเตือนของ Facebook นั้นโผล่มาแน่ พร้อมทั้งการแจ้งเตือนจาก Gmail แอพ แต่การจะอ่านข้อความเต็มๆ ก็คงต้องควักไอโฟนออกมาดู ซึ่งจะไม่เหมือนแอพ Instragram หรือแอพ Mail ของ Apple ที่สามารถตอบสนองได้ทันทีผ่านข้อมือ

แอพดังๆอื่นๆ ก็คงต้องรอเวลาให้นักพัฒนาได้ทยอยปล่อยออกมาให้เล่นกัน เพราะนักพัฒนาเองก็คงอยากจะได้ Apple Watch ตัวจริงไปทดสอบเช่นกัน

apple-watch-review-10

หน้าปัทว์ของ Apple Watch นั้นมีให้เลือกมากมาย แต่ที่ดูเหมือนจะขาดไปอย่างก็คือการที่จะสามารถใส่ภาพได้เองไว้บนหน้าปัทว์ ซึ่งเป็นออพชั่นที่มีการประกาศเอาไว้ตอนเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว

ฟังก์ชั่น Fitness

ถึงแม้ Apple Watch จะไม่ใช่เครื่องมือสำหรับวัดค่าต่างๆ เพื่อการออกกำลังกายก็ตาม แต่คนที่รักษ์สุขภาพก็อาจจะเห็นว่ามันมีประโยชน์ซ่อนอยู่ในเครื่อง Apple Watch เครื่องนี้ แม้ว่าการทำงานในการวัดความดันเลือดอาจจะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังมีความสามารถด้านอื่นที่พอจะถูไถไปได้

apple-watch-review-11

มันอาจจะไม่ใช่แค่เพียงวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่มันจะช่วยคุณรู้สึกอยากจะออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ ได้ ฟังก์ชั่นอาจจะไม่เท่ากับ Samsung Gear S ที่ร่วมมือกับ Nike ในการพัฒนาเป็นอุปกรณ์คู่หูนักวิ่ง แต่อย่างน้อยทาง Apple ก็ได้พยายามลองทำเวอร์ชั่นของตัวเองซึ่งก็พอใช้ได้

อายุแบตเตอร์รี่

Batter life ของ Apple Watch นั้นคาดหวังว่าควรจะอยู่ที่ 18 ชั่วโมง ซึ่งจะหมายถึงการที่จะสามารถใช้งานได้ทั้งวันหากผมจะตื่นและเข้านอนตามปกติ วันแรกที่ลองใช้เลยอาจจะไม่ตรงตามสเป็คนักเพราะทดสอบกันหนักหน่วงกว่าวันปกติ

apple-watch-review-12

ผมรับโทรศัพท์ผ่าน Apple Watch บ่อยครั้งมาก ซึ่งทาง Apple ระบุว่าหากผมโทรไม่หยุดแบตต์จะอยู่ได้เพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเอาไว้ดูเวลาอย่างเดียวก็จะทนได้นานถึง 48 ขั่วโมงเลยทีเดียว

apple-watch-review-13

คิดว่าอีกไม่นานผมจะลองทดสอบการใช้งานแบตต์แบบเป็นทางการดูแล้วค่อยนำผลมาบอกเล่ากัน แต่ที่ผมยืนยันได้คือมันชาร์ชไฟได้เร็วกว่าที่คาด ชาร์ชได้เต็ม 100% ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งตัวเลขอย่างเป็นทางการนั้นการชาร์ชที่ 80% จะใช้เวลา 1.5 ชั่วโมง และที่ 100% จะใช้เวลา 2.5 ชั่วโมง

ภาพรวม

สำหรับคนที่ต้องควักกระเป๋าบ่อยๆเมื่อมีข้อความแจ้งเตือนแล้วละก็เหมาะมากที่จะเป็นเจ้าของ Apple Watch แต่ลูกเล่นต่างๆ อาจจะต้องรอให้บรรดานักพัฒนาได้พัฒนาแอพเฉพาะสำหรับ Apple Watch ออกมาก่อน แต่หากคุณคิดว่าจะซื้อมันมาทดแทนการใช้ iPhone แล้วละก็ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด การใช้งานคือมาช่วยสนับสนุนการใช้งานไอโฟนมากกว่า

และด้วยราคาที่ออกมาตอนนี้ หลายๆคนอาจจะผิดหวังกับความสามารถและอายุแบตเตอร์ริ่ของมัน ดังนั้นหากใครจะลองเล่นแล้วละก็ผมขอแนะนำรุ่นที่ถูกที่สุดไปก่อน เพราะทุกอย่างทำงานได้เหมือนกับรุ่นราคาแพง อายุแบตก็ไม่ต่างกัน แพงเพราะกรอบภายนอกแค่นั้นเอง ถ้าใครรอได้ ผมแนะนำว่ารอรุ่น 2 ดีกว่า เพราะมันน่าจะก้าวกระโดดเหมือนสมัย iPhone 3GS มาเป็น iPhone 4 เมื่อราวๆ 4 ปีที่แล้วนั่นแหละครับ

ภาพและข้อมูลจาก techradar.com

Advertisment

Leave a comment