ล่าสุด

GoPro Hero 6 กับรีวิวการใช้งาน

GoPro Hero 6 กับรีวิวการใช้งาน

หากคุณดูกล้อง Gopro Hero 6 จากภายนอก คุณแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นกล้องรุ่น Gopro Hero 5 หรือ Hero 6 แม้จะพิจารณาแบบละเอียดยิบก็ตาม โดยรุ่นเก่าๆอย่าง Gopro silver จะมีชื่อรุ่นสีดำติดอยู่ด้านหน้าทำให้เรารู้ว่าเป็นรุ่นใด

แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้สิ่งที่จะบอกได้ว่าเป็น Gopro Hero 6 ก็คือข้อความสีเทาบนพื้นเทาขนาดเล็กๆทางด้านซ้ายของกล้อง และคำว่า “power” ทางด้านขวาที่มาแทนคำว่า “mode” ผมถึงขั้นต้องถึงขั้นยกกล้องออกมาส่องกับแสงชัดๆเพื่อให้แน่ใจว่าเป็น Gopro Hero 6 ไม่ใช่ Hero 5

แต่การได้ลองใช้งาน Gopro Hero 6 เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็พบว่ามีการพัฒนาสินค้าไปมากจนเห็นได้ชัด โดยคุณสมบัติหลักที่ผมคิดว่ามันทำให้โดดเด่นกว่ากล้องรุ่นก่อนๆหน้านี้มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน ว่าแล้วก็เริ่มดู รีวิว Gopro hero 6 กันเลยนะครับ

gopro-hero-6

ระบบกันภาพสั่น Image Stabilization (EIS)

ก่อนหน้ารุ่น Gopro Hero 5 นั้น กล้อง Gopro ไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นอยู่ภายในเลย ตัวเลือกของคนใช้งานก็คือต้องถือกล้องให้นิ่งหรือใช้ขาตั้งเท่านั้น ซึ่งข้อแรกนั้นยากกว่าที่คิดและยังขึ้นกับสถานการณ์ในภาวะนั้นๆอีกด้วย ส่วนข้อแรกนั้นถือเป็นเรื่องลำบากในการพกพาสำหรับคนทั่วๆไป

สำหรับกล้อง Gopro Hero 5 นั้นจะมีการเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นแบบอิเลคทรอนิคส์เข้ามา (Electronic Image Stabilization – EIS) ซึ่งจะทำการตัดขอบภาพออก 10% เพื่อแลกกับวิดีโอที่ลื่นไหลมากขึ้น

แต่ระบบ EIS จะทำงานในระนาบเพียง 2 แกนสำหรับแทบทุกความละเอียดภาพ และจะไม่ทำงานที่ระดับ 4K หรือกรณีที่ความเร็วสูงกว่า 60 เฟรมต่อวินาที

แน่นอนว่าระบบ EIS นั้นจะช่วยให้ได้ภาพที่นุ่มนวลมากขึ้น แต่หากคุณเคลื่อนที่ในบางองศา คุณอาจจะมองเห็นภาวะการเกิดภาพเบลอ (warping)หรือเสมือนมีวัตถุประหลาดอยู่ในเฟรมได้

สำหรับกล้อง Gopro Hero 6 จะมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นที่พัฒนาเพิ่มเติมโดยการเพิ่มอีกแกนนึงเข้ามา นั่นหมายถึงว่าการเคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็นแนวแทยงหรือการหมุนกล้องไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป

มันยังใช้งานได้ดีในระดับความละเอียด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที ไปจนถึง 120 fps ที่ 1080p (HD) และกล้อง Gopro Hero 6 ยังมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์โดยเฉพาะในการที่จะเอาลักษณะภาพเบลอออกไป และที่สำคัญ ตอนนี้มีการตัดภาพออกเพียง 5% เท่านั้น ทำให้เราเสียพื้นที่ภาพไปน้อยลงกว่าเดิมสำหรับการได้ภาพที่นิ่งขึ้น

คุณสมบัติอันนี้เป็นอันที่ผมชอบที่สุดแล้วสำหรับการปรับปรุงคุณสมบัติกล้องจาก Hero 5 มาเป็น Gopro Hero 6 ผมลองเอากล้องทั้งสองรุ่นออกไปถ่ายวิดีโอด้วยการติดตั้งกล้องเคียงข้างกันเลย ซึ่งถ่ายมาไม่ว่าจะเดิน จะวิ่ง เล่นผาดโผนต่างๆ

ผลที่ได้คือกล้อง Gopro Hero 6 จะให้ภาพที่ไม่เพียงแค่นิ่งและลื่นไหลอย่างเดียว แต่ยังดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และแทบจะไม่มีอะไรผิดเพี้ยนเลย โดยหากคุณติดตั้งกล้องในตำแหน่งที่จับกล้องได้นิ่งอยู่แล้ว อย่างบนศรีษะ หรือ gimbal หรือในรถยนต์ แน่นอนว่าไม่ควรเปิดใช้ระบบ EIS ให้วุ่นวาย แต่สำหรับการถ่ายภาพแบบที่ต้องจับกล้องด้วยมือธรรมดาหรือบนพื้นผิวที่สั่นไหวแล้วละก็ ระบบ EIS นี้เหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเราเลยละครับ

gopro-hero-6-front

ภาพสโลโมชั่น

ตอนที่กล้อง Hero 4 วางตลาด ถือเป็นการเริ่มต้นของการถ่ายภาพในระดับ 4K สำหรับ GoPro ซึ่งกล้องรุ่นเก่าอาจจะถ่ายในระดับ UHD ได้ก็จริงแต่ก็ได้แค่ระดับ 15 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น พอ Hero 4 ถ่าย 4K ที่ความเร็ว 30 fps หลายๆคนก็ยินดีไปกับคุณสมบัตินี้

แต่การถ่ายวิดิโอระดับ 4K นั้นยังอาจจะไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับคนทั่วไป เพราะแม้แต่ระดับโปรก็ไม่ได้ใช้งานมันมากนักแต่ก็ชอบที่ว่ามันทำได้ นั่นเพราะว่าการได้ความละเอียดที่ 4K ที่ความเร็ซ 30 fps นั้นเอามาทำภาพสโลโมชั่นไม่ได้ เพราะภาพมันอาจจะดูกระตุกหรือไม่ก็ต้องลดความละเอียดลง

ครั้นพอ Gopro Hero 6 สามารถถ่ายวิดิโอ 4K ที่ 60 fps เลยให้คุณได้วิดีโอสโลโมชั่นในระดับ UHD ได้เป็นครั้งแรกบนกล้อง Gopro

สิ่งดีๆที่ตามมาก็คือ ที่ความละเอียดอื่นๆนั้น อัตราเฟรมต่อวินาทีก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าไปด้วยเมื่อเทียบกับ Gopro Hero 5 นั่นคือคุณจะได้ 2.7K ที่ 120fps FHD/1080p ที่ 240fps นั่นหมายความว่าที่ FHD (1080p/240fps) คุณก็จะได้ภาพแอ้คชั่นแบบสโลขั้นสุดยอด เพราะนั่นคือความเร็วที่ 8 เท่าของ 30 fps เหมาะสำหรับการจับภาพแอ้คชั่นมันส์ๆในระดับ HD อย่าลืมนะครับว่า iPhone 8/ 8 plus ก็จะสามารถถ่ายได้ที่ 4K/60 และ 1080/240 ดังนั้นหากคุณใช้ iPhone สำหรับการถ่ายภาพอีกมุมหนึ่ง จะทำให้คุณสามรถรวมภาพสโลว์ที่เรทเดียวกัน แต่ในฝั่ง google อาจจะยังไม่ถึงขึ้นนี้ โดย Pixel 2 ทำได้แค่ 4K/30 และ 1080/120 เท่านั้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะต้องบอกกล่าวกันตรงนี้ นั่นคือแม้ Gopro Hero 6 จะสามารถให้ภาพวิดีโอที่เฟรมเรทสูงก็จริง แต่มันใช้การบีบอัดแบบ HEVC ซึ่งระบบไฟล์นี้อาจจะไม่รองรับได้ทั่วไป ผู้ใช้เครื่อง Mac อาจจะเปิดไฟล์นี้ไม่ได้ยกเว้นบน Hihe Sierra หรืออาจจะต้องดาวน์โหลด player ตัวอื่นมาลง ซึ่งอาจจะไม่ดีเท่าที่ apple จัดมา

ผมลองบนเครื่อง Mac กับ Div X player ซึ่งมันบอกว่าใช้งานได้ แต่กลายเป็นว่าต้องลองกันอยู่นานกว่าจะให้มันใช้งานได้ ส่วน VLC เปิดไฟล์ได้แต่แทบจะเล่นวิดีโอไม่ได้ ส่วน Elmedia พอใช้งานได้แต่แทบไม่มีลูกเล่นอะไร

ถือว่าอาจจะไม่สะดวกหากคุณต้องการตัดต่อภาพ จนกว่า OS ของคุณจะเป็นรุ่นใหม่ๆคุณอาจจะต้องลองหลายวิธีในการที่จะตัดต่อให้ได้ แต่การที่ Apple กำลังจะนำ HEVC เข้ามาใน iOS 11 ก็คาดว่าสถานการณ์ก็คงจะดีขึ้น

ส่วนดีของ HEVC ก็คือมันจะช่วยให้ขนาดไฟล์เล็กลง การถ่ายวิดีโอที่ระดับ 4K/60fps นั้นจะทำให้จำนวนเฟรมเพิ่มเป็นสองเท่า ไฟล์จึงมีขนาดใหญ่มากและความเร็วก็สูง ด้วย HEVC ขนาดไฟล์ก็จะอยู่ที่เพียงระหว่าง 50-80% ของขนาดไฟล์แบบ h.264 ที่เฟรมเรทเดียวกัน

gopro-hero-6-lcd

คุณภาพของภาพ

คุณสมบัติเด่นอย่างภาพสโลว์และระบบลดภาพสั่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะมีในกล้องตัวนี้ แต่ทั้งสองอย่างจะมีประโยชน์อะไรถ้าภาพขั้นต้นที่ได้มานั้นยังไม่ตอบโจทย์ที่ต้องการ

ด้วยกล้อง Gopro Hero 6 ที่มาพร้อมชิพ GPI นั้น ทาง Gopro ได้มีการปรับแต่งจนถือได้ว่าน่าสนใจทีเดียว จริงๆแล้วมีการปรับปรุงในหลายๆได้จนได้ภาพที่ถือได้ว่าดีกว่ารุ่นก่อนๆมาก

สิ่งแรกที่สังเกตเห็นก็คือ Gopro Hero 6 ทำให้ทุกอย่างคมชัดขึ้น โดยผมลองถ่ายภาพด้วยการติดตั้งกล้องทั้งสองบน Karma Drone แล้วถ่ายภาพวิวเช่น น้ำ ตึก หญ้า ต้นไม้ ซึ่งพบว่ามีความแตกต่างกันมาก

ตัวอย่างเช่น ใบไม้บนต้นไม้นั้นจะให้รายละเอียดที่มากขึ้นบนกล้อง Gopro Hero 6 แม้เทียบกับกล้อง Hero 5 ที่ถ่ายใกล้กว่าก็ยังเห็นได้ชัด เช่นเดียวกันกับผิวน้ำในระยะไกล กับกล้อง Hero 5 จะได้สีน้ำเงินแบบเรียบๆ แต่สำหรับ Gopro Hero 6 มันแสดงถึงแสงเงาและคลื่นออกมาได้อย่างชัดเจน ส่วนภาพท้องฟ้า Gopro Hero 6 จะให้รายละเอียดและความคมชัดที่ Hero 5 ทำไม่ได้

ความคมชัดที่ได้มานั้นมาจากการพัฒนาในเรื่องของสีอีกด้วย ทุกอย่างที่ถ่ายด้วย Gopro Hero 6 โดยใช้โหมดสี “GoPro” นั้นทำให้ภาพโดดเด่นขึ้นมา ขณะที่ถ่ายไปตามก้อนกรวดและยางมะตอย กล้อง Hero 5 จะให้ภาพทื่อๆและออกเทาๆ แต่ Gopro Hero 6 จะให้ภาพที่มีสีสันมากกว่าแม้จะเป็นลานจอดรถที่เดียวกันก็ตาม

gopro-hero-6-sky

แต่ก็อย่างว่าละครับ บางคนอาจจะมองว่ามันเวอร์เกินไปกับการที่มันดูโดดเด่นเกิน ในวันที่ท้องฟ้าสดใส ภาพมันดูอิ่มตัวจนแทบจะดูเกินจริงไปหน่อย เนื่องจากมันดูเป็นสีน้ำเงินเข้มเกินไป อย่างไรก็ตามมันก็มีโหมดให้เลือกคือ ธรรมชาติ/พื้นๆ (natural/flat) หากคุณคิดว่าภาพนั้นดูสมจริงเกินไป แต่โดยรวมๆแล้วก็ถือว่าเป็นธรรมชาติดี

Gopro Hero 6 ยังมีโหมดลูกเล่นต่างๆให้เลือกอีกมาก คุณต้องเล่นกับมันซักระยะเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมากที่สุด เช่นโหมด ProTune ที่เดิมมีตัวเลือกให้ควบคุมการรับแสง (exposure) แต่ตอนนี้คุณสามารถควบคุมความเร็ว shutter และค่า white balance ด้วยตัวเลือกที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณสามารถหมุนปรับค่าได้ และค่า ISO ได้ถูกแยกเป็น min/max แทนที่จะมีตัวเลือกค่า max แบบเดียวเหมือนเมื่อก่อน

พูดง่ายๆว่า Gopro Hero 6 มีลูกเล่นมากขึ้นที่เข้าใกล้กล้อง SLR ที่เราคุ้นเคยเพื่อการปรับแต่งการถ่ายภาพให้ได้ตามความต้องการที่สุด สำหรับผมแล้วชอบตรงที่สามารถจะล้อคค่า ISO เอาไว้เพื่อที่จะได้ภาพที่คมชัดที่สุดตลอดเวลา

คุณสมบัติตัวสุดท้ายก็คงเป็นเรื่องของตัวเลือกการซูมแบบเส้นตรง (linear-zoom) ก่อนหน้านี้คุณเลือก FOV ได้แค่ มุมแคบ มุมกลาง และมุมกว้าง แต่กับกล้อง Gopro Hero 6 คุณสามารถใช้สไลเดอร์ในการหมุนปรับค่าการซูมที่ต้องการ ทำให้คุณสามารถควบคุมภาพที่จะอยู่ในกรอบได้มากขึ้น ในแนวนอนก็ทำได้ด้วย

ทำให้การที่จะสามารถเลือกว่าจะให้ภาพอะไรโผล่อยู่ในกล้องได้บนตัวกล้องเลยนั้นเหมาะสำหรับนักเล่นกล้องทั่วไป แต่สำหรับโปรแล้วอาจจะชอบที่จะตัดต่อทีหลังมากกว่า

เราจึงพอสรุปได้ว่าเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ Gopro Hero 6 จะดีกว่า Hero 5 ในหลายๆด้าน ในแบบที่นักเล่นกล้องต้องการ แม้ระบบการควบคุมด้วยเสียงหรืออื่นๆจะมีมาให้ด้วย แต่สิ่งที่นักถ่ายภาพต้องการคือลูกเล่นเชิงภาพมากกว่า

ในแง่ของราคาแล้วอาจจะแพงกว่า Gopro Hero 5 แต่ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับคุณสมบัติต่างๆที่เพิ่มขึ้นมาอีกมากโดยราคาในอเมริกานั้นจะอยู่ที่ $499 ขึ้นไป สำหรับราคาในไทย ก็อาจจะต้องรองานเปิดตัวกันในวันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ที่เราจะได้ทราบราคากันแล้วละครับ

รีวิวจาก engadget.com

Advertisment